สอนลูกแต่งตัว การเริ่มฝึกให้ลูกทำกิจวัตรประจำวันด้วยตัวเองเป็นการเสริมทักษะและพัฒนาการได้เป็นอย่างดี โดยอาจจะเริ่มจากการฝึกให้ลูกใส่เสื้อผ้าด้วยตัวเอง ซึ่งเป็นกิจกรรมง่ายๆ จากนั้นจึงเริ่มเปลี่ยนให้ลูกได้ทำสิ่งอื่นด้วยตัวเองต่อไป แต่การที่จะสอนลูกแต่งตัวและฝึกให้ลูกทำกิจวัตรประจำวันต่างๆ ด้วยตัวเองนั้นอาจต้องค่อยเป็นค่อยไป ทั้งยังอาจต้องคอยให้ความช่วยเหลือจนกว่าลูกจะทำสิ่งต่างๆ ได้อย่างคล่องแคล่ว

สอนลูกแต่งตัว ดีอย่างไรดี

เมื่อเด็กๆ เริ่มโตขึ้น คุณพ่อคุณแม่ควรเริ่มที่จะฝึกเขาให้ช่วยเหลือตนเองได้ โดยเฉพาะการใช้ชีวิตประจำวันที่เป็นเรื่องสำคัญ อาจจะเริ่มด้วยสอนลูกแต่งตัวเพราะเมื่อถึงวัยที่ลูกต้องเข้าโรงเรียนนั้นคุณพ่อคุณแม่จะไม่สามารถดูแลเขาได้ตลอดเวลา ก่อนการฝึกลูกน้อยคุณพ่อคุณแม่ต้องทำความเข้าใจกับพัฒนาการและความพร้อมของเด็กในแต่ละวัยกันก่อน เพื่อให้คุณพ่อคุณแม่ได้ฝึกลูกอย่างเข้าใจ

ทักษะการแต่งตัวของเด็กแต่ละวัย

เด็กวัย 2 ปี

  • สามารถถอดเสื้อตัวนอก หรือเสื้อคลุมได้ด้วยตัวเอง
  • ถอดรองเท้าที่มีเชือก หรือแถบติดออกเองได้
  • สามารถเอาแขนและขาสอดเข้าช่องเสื้อและกางเกงได้
  • สามารถดึงกางเกงขึ้นได้เอง หรือดึงเสื้อลงมาสวมหัวและแขนได้

เด็กวัย 2 ปี ครึ่ง

  • สามารถสวมกางเกงขาสั้นและขายาวแบบเอวยืดได้แล้ว
  • สามารถฝึกใส่ถุงเท้าได้เอง
  • ใส่เสื้อแบบไม่มีกระดุมได้
  • ปลดกระดุมที่เป็นเม็ดใหญ่ได้

เด็กวัย 3 ปี

  • สามารถสวมเสื้อยืดเองได้ แต่อาจมีช่วยเหลืออยู่บ้าง
  • ใส่รองเท้าแตะได้ แต่อาจมีสลับข้าง
  • ถอดกางเกงออกได้ด้วยตัวเอง
  • รูดซิปได้ด้วยตัวเอง แต่ยังต่อซิปเองไม่ได้
  • ถอดเสื้อยืดโดยไม่ต้องมีคนช่วยได้

เด็กวัย 4 ปี

  • สามารถต่อซิปเองได้ และรูดขึ้นได้แล้
  • เริ่มใส่เข็มขัดเองได้ แต่ร้อยไม่ครบหู
  • สามารถใส่รองเท้าได้หลายรูปแบบมากขึ้น แต่อาจจะต้องช่วยเหลือเล็กน้อย
  • เริ่มเรียนรู้และจำได้มากขึ้นว่าตรงไหนคือด้านหน้าและด้านหลัง

เด็กวัย 4 ปี ครึ่ง

  • สามารถสอดขาและสวมกางเกงขายาวได้ด้วยตัวเอง
  • ร้อยเข็มขัดได้ครบหูมากขึ้น

เด็กวัย 5 ปี

สามารถแต่งตัวได้เองในหลากรูปแบบมากขึ้น เช่น เสื่อยืด เสื้อรูดซิป กางเกงขายาว

เทคนิคการสอนลูกแต่งตัวด้วยตัวเอง

  • สอนลูกแต่งตัวตามพัฒนาการของแต่ละช่วงวัย

การเข้าใจพัฒนาการของลูกในแต่ละช่วงวัยและเริ่มสอนลูกแต่งตัวให้เหมาะสมจะเป็นผลดีกับลูกมากกว่า ถ้าฝึกในสิ่งที่เกินกว่าลูกจะเข้าใจ และยังทำไม่ได้จะทำให้ทั้งลูกเครียดและกดดัน และจะทำให้ลูกไม่อยากเรียนรู้ทักษะการช่วยเหลือตัวเอง

  • เตรียมเสื้อผ้าไว้ให้ลูก

บางครั้งลูกอาจจะสับสนกับเสื้อผ้ามากมายที่อยู่ในตู้เสื้อผ้า ดังนั้น คุณพ่อคุณแม่จึงควรเตรียมชุดที่จะให้ลูกเอาไว้ที่เตียงหรือแขวนไว้หน้าตู้เสื้อผ้า เพื่อช่วยให้ลูกสามารถหยิบมาใส่ได้สะดวกขึ้น

  • สอนลูกแต่งตัวด้านหน้าและด้านหลัง

ให้คุณแม่สอนลูกสังเกตว่า ด้านไหนเป็นด้านหน้า และด้านหลังของเสื้อผ้า แต่อย่าคาดหวังว่าลูกจะสามารถแยกแยะได้ในทันที เพราะการเริ่มฝึกทักษะบางอย่างนั้นต้องใช้เวลา

  • สอดแขนเข้าไปที่แขนเสื้อ

สอนให้ลูกใช้แขนสอดเข้าไปในแขนเสื้อ นี่เป็นวิธีที่ง่ายและอาจช่วยทำให้ลูกมีความมั่นใจขึ้น

  • สอนลูกแต่งตัวให้ใช้กางเกงเอวยืด

กางเกงเอวยืดขาสั้นนั้นสวมใส่ได้ง่ายกว่ากางเกงขายาว จึงเหมาะที่จะใช้สอนลูกแต่งตัว

  • สอนลูกแต่งตัวให้นั่งลง 

การฝึกลูกให้นั่งใส่เสื้อผ้าจะง่ายกว่าและไม่ต้องกลัวว่าเขาจะเซล้มด้วย โดยเฉพาะการใส่กางเกง

  • สอนลูกให้ปลดและติดกระดุมเอง

ส่วนมากเด็กๆ จะสามารถปลดกระดุมได้ก่อนการติดกระดุม เพราะการติดกระดุมต้องอาศัยดูที่รังดุมว่า รังดุมเป็นแนวตั้ง การสอนลูกแต่งตัวในช่วงแรกให้คุณพ่อคุณแม่สอนลูกจากการใช้กระดุมเม็ดใหญ่ก่อน เมื่อลูกสามารถทำได้คล่องแล้ว ค่อยขยับลงมาเป็นกระดุมที่มีขนาดเล็กลง

  • สอนลูกแต่งตัวให้ลูกเลือกเสื้อผ้าเอง

การให้ลูกได้เลือกเสื้อผ้าใส่เองเป็นการกระตุ้นให้ลูกรู้สึกตื่นเต้นและอยากใส่เสื้อผ้าชุดนั้นๆ อีกทั้งการให้ลูกได้เลือกเสื้อผ้าเองนั้นยังเป็นการฝึกลูกเรื่องการตัดสินใจได้อีกด้วย

  • สอนลูกแต่งตัวเริ่มจากการถอดเสื้อ

บางครั้งการถอดเสื้อผ้าอาจทำได้ง่ายกว่าการใส่เสื้อผ้า ดังนั้น คุณพ่อคุณแม่อาจใช้ตรงจุดนี้ในการแนะนำลูกว่าตอนถอดทำอย่างนี้ และเวลาใส่ควรเริ่มจากตรงไหน

  • การสอนลูกแต่งตัวเลือกเสื้อที่ใส่ได้ง่าย

การเริ่มฝึกให้ลูกใส่เสื้อผ้าด้วยตัวเองนั้น อาจเริ่มจากเสื้อที่สามารถสวมใส่ได้ง่าย ๆ แบบที่ยังไม่ต้องมีการติดกระดุม เมื่อลูกเริ่มมีความชำนาญแล้วจึงเปลี่ยนรูปแบบของเสื้อผ้า

  • เลือกรองเท้าที่ใส่ง่าย ถอดง่าย

รองเท้าเด็กส่วนใหญ่ หากเป็นรองเท้าผ้าใบนั้นจะมีลักษณะเป็นยางยืด หรือแถบตีนตุ๊กแก ซึ่งง่ายต่อการถอดและสวมใส่ ที่ควรจะสอนก็คือ เทคนิคการสวมใส่รองเท้าผ้าใบค่ะ เช่น เมื่อสวมเท้าเข้าไปได้ครึ่งหนึ่งแล้วให้ดันเท้าเข้าไปพร้อมกับดึงส้นรองเท้า หรือจะใช้อุปกรณ์ในการช่วยใส่ก็ได้

การสอนลูกแต่งตัวด้วยตนเองในช่วงแรกนั้น เริ่มแรกอาจจะมีอาการหงุดหงิดเพราะเขายังไม่สามารถทำได้ ซึ่งคุณพ่อคุณแม่ไม่ควรตำหนิเขาเมื่อเขาทำไม่ได้ แต่ควรพูดให้กำลังใจเขาแทน เป็นเรื่องธรรมดาที่เมื่อเริ่มทำอะไรเป็นครั้งแรกจะยังไม่สามารถทำได้ในทันที คุณพ่อคุณแม่ควรสอนเขาด้วยความใจเย็นและพูดชมลูกเมื่อลูกทำได้

สอนลูกแต่งตัว

ข้อควรรู้ในการสอนลูกแต่งตัว

การสอนลูกแต่งตัวและสามารถช่วยเหลือตัวเองด้วยกิจวัตรประจำวันแบบง่ายๆ นับว่าเป็นการเริ่มต้นพัฒนาทักษะอันจำเป็นต่อการเติบโตของเด็กได้เป็นอย่างดี อย่างไรก็ตาม ยังอาจมีสิ่งที่คุณพ่อคุณแม่ควรรู้เกี่ยวกับการสอนลูกแต่งตัวได้เอง ดังนี้

  • เข้าใจลูก

ลุกก็เหมือนกับคุณพ่อคุณแม่ที่มักมีสไตล์การแต่งตัวเป็นของตัวเอง ดังนั้น เมื่อเริ่มสอนลูกแต่งตัวควรเลือกเสื้อผ้าให้ลูกด้วยการถามความสมัครใจ หรือความชอบในการใส่เสื้อผ้าของลูกแทนที่จะเลือกตามความชอบของคุณพ่อคุณแม่เอง โดยอาจจะถามลูกว่า ต้องการใส่เสื้อผ้าแบบไหน อยากใส่ชุดสีอะไร ให้พวกเขาได้ตัดสินใจและเลือกสไตล์ของตัวเอง ซึ่งอาจช่วยเพิ่มความมั่นใจในกับลูกอีกทางหนึ่ง

  • สร้างมาตรฐาน

การให้ลูกได้แต่งกายตามสไตล์ของตัวเองเป็นเรื่องที่ดี แต่ในบางครั้ง ลูกอาจมีความต้องการสวมเสื้อผ้าที่ผิดกฎระเบียบของโรงเรียน หรือมีการแต่งตัวที่ไม่เหมาะสมกับสถานที่ คุณพ่อคุณแม่อาจต้องการอธิบายให้ลูกเข้าใจในเรื่องของกาลเทศะ หรืออาจแก้ปัญหาด้วยการแยกชุดไว้ว่า ชุดนี้สำหรับแต่งตัวไปเล่น ชุดนี้สำหรับไปโรงเรียน

  • เคารพความเป็นส่วนตัว

คุณพ่อคุณแม่อาจไม่ได้เข้าใจในสไตล์การแต่งตัวของลูก ดังนั้น จึงควรทำความเข้าใจว่า ลูกไม่ได้สนใจเกี่ยวกับภาพลักษณ์ในการแต่งตัวมากเท่ากับว่า เสื้อผ้าชุดนั้นสวมใส่สบายหรือไม่ ลูกอาจเพียงแค่ต้องการสวมใส่ชุดที่สบายและสะดวกกับการใช้ชีวิตมากกว่าการใส่เสื้อผ้าที่ช่วยให้ดูดีในสายตาของคนกลุ่มใดกลุ่มหนึ่ง

  • ปล่อยให้เป็นเรื่องของเด็ก

ในบางครั้ง ลูกอาจมีการผสมผสานเสื้อผ้าแบบต่างๆ เข้าด้วยกัน ซึ่งอาจดูแปลกตาและไม่ค่อยถูกใจคุณพ่อคุณแม่สักเท่าไหร่ อย่างไรก็ตาม คุณพ่อคุณแม่ไม่ควรห้ามหรือดุด่าพวกเขา ควรปล่อยให้เป็นเรื่องของพวกเขา เพียงแค่คอยให้คำแนะนำถึงกาลเทศะว่า แต่ละชุดนั้นสามารถแต่งไปที่ไหนได้บ้าง และไม่ควรแต่งไปในสถานที่แบบใด

ประโยชน์ของการสอนลูกแต่งตัว

  • ได้ฝึกทักษะกล้ามเนื้อมือ

การฝึกให้ลูกรู้จักช่วยเหลือตัวเองเช่นการกลัดกระดุม ผูกเชือกรองเท้า เป็นการฝึกทักษะการทำงานประสานกันของกล้ามเนื้อและสายตา แล้ว เป็นที่น่ายินดีว่าปัจจุบันนี้โรงเรียนต่างๆ หันมาให้ความสำคัญต่อทักษะในการช่วยเหลือตัวเองมากขึ้นครับ เช่นการสอบเข้าชั้นประถมบางโรงเรียนเริ่มให้สอบผูกเชือกรองเท้าโดยมีการวัดผลที่เป็นระบบ เด็กที่ไม่เคยฝึกการช่วยเหลือตนเองย่อมทำคะแนนได้ต่ำกว่า

  • เรียนรู้การแก้ปัญหา

การฝึกเด็กให้รู้จักช่วยเหลือตัวเองจะ ช่วยพัฒนาทักษะในการแก้ไขปัญหา เช่นเด็กที่ต้องจัด เตรียมอุปกรณ์การเรียนและเสื้อผ้า ชุดนักเรียนไปโรงเรียนเอง เมื่อเกิดปัญหาเช่น หาไม้บรรทัดหรือหาเข็มขัดลูกเสือไม่เจอ จะทำอย่างไร เด็กจะเรียนรู้การขอความช่วยเหลือจากผู้ใหญ่เรียนรู้การวางแผนล่วงหน้าเพื่อวางของให้ค้นหาง่ายจะได้ไม่เกิดปัญหาในครั้งต่อๆ ไป ซึ่งต่างจากเด็กที่มีคนหาอุปกรณ์การเรียน เสื้อผ้า เตรียมไว้ให้หมดทุกอย่าง อาจไม่เคยพบปัญหาเลยหรือเมื่อเกิดปัญหาก็ไม่ต้องเรียนรู้อะไรเพราะมีคนคอยแก้ไขให้หมดแล้ว

  • ฝึกความรับผิดชอบ

ตัวอย่างจริงของเด็กอายุ 3 ขวบ สองคน ซึ่งได้รับการอบรมเลี้ยงดูที่ต่างกัน เด็กคนแรกอยู่ที่บ้านพ่อแม่สอนให้รู้จักกฏเกณฑ์ ระเบียบ วินัย ฝึกให้ลูกรู้จักช่วยเหลือตัวเองตามวัย รู้จักใส่เสื้อผ้าเอง อาบน้ำเอง กินข้าวเอง เก็บของเล่นเอง ตรงกันข้ามกับเด็กอีกคนหนึ่งที่บ้านทุกคนตามใจหมด อยากได้อะไรต้องได้ ทุกคนต้องยอมตาม พ่อแม่ไม่เคยฝึกให้ช่วยเหลือตัวเอง อาจ3ขวบ แล้วยังต้องป้อนข้าวให้ แค่พูดว่า “จะกินน้ำ” น้ำก็มา ( คือมีคนรีบเอาแก้วน้ำมาให้) ไม่เคยอาบน้ำ แต่งตัวเอง ทั้งทั้งที่จริงทำได้ เวลาแต่งตัวเพียงแค่ยกแขน ยกขา ทุกอย่างก็เสร็จเรียบร้อย

เด็กสองคนนี้ทันทีที่เข้าโรงเรียนอนุบาลวันแรกก็แตกต่างกันอย่างเห็นได้ชัด ตัวอย่างง่ายๆ เช่นหลังตื่นนอนกลางวัน ที่โรงเรียนเด็กคนแรกลุกขึ้นมา ก็พับเก็บผ้าห่ม หมอน และที่นอน โดยคุณครูไม่ต้องบอก เพราะที่บ้านเขาทำเป็นเรื่องปกติอยู่แล้ว เมื่อพับเก็บของตัวเองเสร็จเรียบร้อยแล้ว ยังมีเวลาเหลือพอไปช่วยพับเก็บของเพื่อนอีก คุณครูเห็นว่ารับผิดชอบดีแบบนี้ก็อดชมเสียไม่ได้ เด็กคนนี้ เมื่อได้รับคำชม ก็เกิดความภาคภูมิใจในตัวเอง ซึ่งมีค่ามากต่อเด็ก ก็จะมีพฤติกรรมดีต่อเนื่องและมากขึ้นเรื่อยๆ เมื่อหันมามองเด็กอีกคนที่พ่อแม่ไม่ได้ฝึกอบรมมา ท่านผู้อ่านคงเดาภาพออกว่าจะแตกต่างกันอย่างไรบ้าง เขาไม่เก็บ ไม่ทำ อะไรทั้งสิ้น เพราะที่บ้านมีคนทำให้ตลอด (ทำไมต้องทำเอง) เด็กที่ฝึกการช่วยเหลือตัวเองมาดี เมื่อเติบโตขึ้นก็ย่อมจะมีความรับผิดชอบต่อตนเองและรับผิดชอบต่อหน้าที่ดีตามมา

  • พร้อมรับการเรียนรู้ได้ดีกว่า

คุณพ่อคุณแม่ลองสังเกตดูเด็กที่ได้รับการฝึกช่วยเหลือตัวเองมาดี เวลาจะฝึก จะสอนอะไร เช่นฝึกเขียน อ่าน สอนว่ายน้ำ ก็มักจะพร้อมรับการเรียนรู้ได้ดีกว่า ซึ่งจะตรงกันข้ามกับเด็กที่ไม่ได้รับการฝึกช่วยเหลือตัวเอง มักจะทำเฉพาะที่ตัวเองอยากทำ ค่อนข้างเอาแต่ใจตัวเอง ถ้าไม่อยากทำก็ไม่ทำ ไม่อยากเรียนก็ไม่เรียน จึงไม่ค่อยมีความพร้อมในการรับการเรียนรู้สิ่งใหม่ๆ จากพ่อแม่และคุณครู

เทคนิคการเลือกเสื้อผ้าให้ลูก

  • จำกัดงบประมาณ

สำหรับคุณพ่อคุณแม่ที่ชื่นชอบการแต่งตัวให้กับลูกนั้น งบประมาณถือว่าเป็นสิ่งสำคัญที่อาจจะต้องมีการจำกัดงบประมาณในการซื้อไว้บ้าง เพราะโดยมากแล้วเสื้อผ้าของเด็กมักจะออกมาแตกต่างกันตามฤดูกาล อีกทั้งเด็กยังจะต้องเติบโตขึ้นเรื่อย ๆ ซึ่งอาจทำให้เสื้อผ้าที่ใส่ในวันนี้ไม่สามารถใส่ได้อีกเมื่อโตขึ้น ดังนั้น จึงไม่จำเป็นต้องทุ่มเงินไปกับการซื้อเสื้อผ้าให้กับลูกมากเกินความจำเป็น

  • ทนทาน

เสื้อผ้าที่ดีสำหรับลูกควรจะต้องเป็นเสื้อผ้าที่มีความทนทาน และอาจต้องพร้อมต่อทุกสถานการณ์ เนื่องจาก ลูกมักจะต้องวิ่งเล่นกับเพื่อนในวัยเดียวกันเป็นประจำ การสวมเสื้อผ้าที่ทนทาน ไม่ฉีกขาดง่าย จึงเป็นสิ่งที่เหมาะสม ทั้งยังอาจช่วยลดเวลาและค่าใช้จ่ายในการซ่อมแซมเสื้อผ้า หรือซื้อเสื้อผ้าใหม่ได้อีกด้วย

  • สวมใส่สบาย

นอกจากเสื้อผ้าของลูกจะต้องทนทานต่อการใช้งานแล้ว สิ่งที่สำคัญอีกอย่าง คือ ต้องสวมใส่สบาย เพื่อไม่ให้ลูกรู้สึกอึดอัดจนเกินไป และยังต้องเหมาะสมกับสภาพอากาศด้วย เช่น อากาศร้อนควรสวมใส่เสื้อผ้าที่ไม่หนา อากาศหนาวควรสวมใส่เสื้อผ้าที่หนาเพื่อป้องกันความหนาวเย็น

  • ขนาด

หากจะซื้อเสื้อผ้าให้กับลูก ควรคำนึงถึงขนาดตัวของลูกกับเสื้อผ้าที่ซื้อ ไม่ควรคับเกินไป หรือหลวมเกินไป เพื่อให้ลูกสามารถใช้ชีวิตประจำวันได้อย่างสะดวก

การเลือกซื้อเสื้อผ้าแม้จะเป็นเรื่องเล็กน้อย แต่ก็มีรายละเอียดที่ไม่ควรมองข้าม ทั้งนี้เพื่อความปลอดภัย สะดวกต่อการทำกิจกรรม และยังเป็นการเสริมให้ลูกมีความมั่นใจในตัวเองได้อีกด้วย

การสอนลูกแต่งตัวมีประโยชน์ต่อเด็กหลายด้าน เช่น สอนลูกแต่งตัวเป็นกิจกรรมที่ส่งเสริมให้เด็กได้พัฒนากล้ามเนื้อมัดเล็ก ควบคุมการทำงานของกล้ามเนื้อเล็ก และด้านการประสานสัมพันธ์ที่ดีระหว่างกล้ามเนื้อตากับมือในการติดกระดุม การผูกเชือกรองเท้า นอกจากนี้ เป็นการฝึกให้ลูกเป็นคนมีระเบียบวินัย รู้จักช่วยเหลือตนเองในกิจวัตรประจำวันต่างๆ ทั้งการเข้าห้องน้ำ การทำความสะอาดร่างกาย การรับประทานอาหาร และการแต่งตัว อีกทั้งยังส่งเสริมให้เด็กรู้จักเลือกเครื่องแต่งกายให้เหมาะสมกับกาลเทศะอีกด้วย

เรื่องอื่นๆ ที่น่าสนใจเกี่ยวกับเด็ก

ที่มาของบทความ

 

ติดตามอ่านเรื่องเกี่ยวกับเด็กได้ที่ impliweb.com
สนับสนุนโดย  ufabet369